โลโก้ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
  • หน้าแรก
  • เกี่ยวกับภาควิชา
  • บุคลากร
    • อาจารย์แพทย์
    • เลขา
  • การเรียนการสอน
  • ตารางการออกตรวจ
  • งานวิจัย
  • บทความ
  • กิจกรรม
  • สาขาวิชา
    • นาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้
    • โสตวิทยา โสตประสาทวิทยา
    • โสต ศอ นาสิกวิทยา
    • เลขานุการภาควิชา
    • ศัลยกรรมศีรษะและคอ
    • สาขาวิชาโรคกล่องเสียง
    • โสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับการนอนหลับ
  • รับเรื่องร้องเรียน
  • โปรไฟล์
  • Profile
  • งานวิจัย
ชื่อ - นามสกุล : ผศ.พญ.ชนิดา จันทร์ทิม
Email : -
Facebook :
ภาควิชา : ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
หน่วยงาน : นาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้ ()
ตำแหน่งทางวิชาการ : ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ตำแหน่งภายในโรงพยาบาล : รองคณบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคล รก.หัวหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
การศึกษา :

*พ.บ. ม.นเรศวร พ.ศ.2547
*วว.โสต ศอ นาสิกวิทยา รพ.ภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ
*วว.สาขานาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล พ.ศ.2557

ความชำนาญและความสนใจ :

สาขานาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้

ตารางการออกตรวจ : คลิก
ผศ.พญ.ชนิดา จันทร์ทิม
Name - Surname : Dr.Chanida Chantim, M.D.
Email : -
Facebook :
ภาควิชา : ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
หน่วยงาน : นาสิกวิทยาและโรคภูมิแพ้ ()
Academic Positions :
Hospital Position :
Education :
Expertise and Interests :
ผศ.พญ.ชนิดา จันทร์ทิม
ชื่อหัวข้อ : Cell cytotoxicity evaluation of silver microemulsion for intranasal antibacterial use in acute bacterial rhinosinusitis: A pharmacological study
subject : Cell cytotoxicity evaluation of silver microemulsion for intranasal antibacterial use in acute bacterial rhinosinusitis: A pharmacological study
รายละเอียด :

Acute bacterial rhinosinusitis is a commonly observed condition marked by inflammation and infection of the sinuses, prompting the exploration of a .



Acute bacterial rhinosinusitis is a commonly observed condition marked by inflammation and infection of the sinuses, prompting the exploration of alternative therapeutic approaches, such as the utilization of topical antibacterial agents incorporating silver nanoparticles. However, prior to clinical translation, a comprehensive evaluation of the safety profile is indispensable. This review article places emphasis on diverse safety pharmacological investigations, specifically cell cytotoxicity assays, conducted to assess the potential adverse effects of silver microemulsion on human cells. Additionally, this review highlights other pharmacological methodologies aimed at ensuring safety prior to efficacy testing and subsequent formulation development of an appropriate preparation.


ไฟล์เอกสาร : Cell cytotoxicity evaluation of silver microemulsion for intranasal antibacterial use in acute bacterial rhinosinusitis: A pharmacological study
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : อังคาร ที่ 7 พฤศจิกายน 2566
วันที่ทำการลง : พฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน 2566
Cell cytotoxicity evaluation of silver microemulsion for intranasal antibacterial use in acute bacterial rhinosinusitis: A pharmacological study
 
ชื่อหัวข้อ : The link between PM2.5 exposure and depression: A systematic review
subject : The link between PM2.5 exposure and depression: A systematic review
รายละเอียด :

 

Objective: This study aimed to investigate the association between exposure to fine particulate matter (PM2.5) an .



 

Objective: This study aimed to investigate the association between exposure to fine particulate matter (PM2.5) and depression by conducting a systematic review.

Methods: A comprehensive search of electronic databases was performed to identify relevant studies. The inclusion criteria were limited to original epidemiological studies that examined the association between PM2.5 exposure and depression in human populations. Seven studies met the eligibility criteria and were included in the final analysis. The included studies were conducted in different countries and utilized varying study designs and sample sizes. Systematic review was conducted to synthesize the findings from the individual studies.

Results: The results of the systematic review indicated a consistent association between exposure to PM2.5 and depression. Moreover, the studies suggested that this association might be bidirectional, with exposure to PM2. 5 leading to depression and depression increasing the risk of PM2. 5 exposure. However, the strength of the association varied among studies, indicating that the effect of PM2. 5 exposure on depression might be influenced by contextual factors such as population characteristics, geographic location, and exposure duration. More research is needed to establish a causal relationship between PM2.5 exposure and depression.

Conclusion: This systematic review highlights the significant impact of PM2.5 air pollution on mental health, particularly its association with depression. Elevated levels of PM2.5 are linked to an increased risk of depression, and long-term exposure to this pollutant raises the risk of depression and anxiety, especially in males. Addressing PM2.5 pollution is crucial for promoting mental well-being.


ไฟล์เอกสาร : The link between PM2.5 exposure and depression: A systematic review
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : อาทิตย์ ที่ 5 พฤศจิกายน 2566
วันที่ทำการลง : พฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน 2566
The link between PM2.5 exposure and depression: A systematic review
 
ชื่อหัวข้อ : ขอเสนอการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้นและชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคจมูกอักเสบแพ้ร่วมกับโรคหืดในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
subject : Proposal for House Dust Mite Sublingual Immunotherapy compared with Subcutaneous Immunotherapy for treating Allergic Rhinitis with and without Asthma in the COVID-19 Pandemic
รายละเอียด :

บทคัดย่อ

การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อระบบการรักษา .



บทคัดย่อ

การระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อระบบการรักษาพยาบาลและทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ยากมากขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและส่งผลกระทบต่อสังคมในภาพรวม บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความสำคัญที่จะต้องมีการจัดการในเชิงนโยบาย และได้ทดลองวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ทางสังคมที่คำนวณค่าออกมาเป็นตัวเงินของการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคหืดที่เกิดร่วมกับโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ซึ่งมีสาเหตุมาจากไรฝุ่นในสถานการณที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 การวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างสิ่งแทรกแซง คือ ยาชนิดอมใต้ลิ้น และ สิ่งควบคุม คือ ยาชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนัง พบว่า ยาภูมิคุ้มกันบำบัดชนิดอมใต้ลิ้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าการลงทุนหากพิจารณาในมุมมองของสังคม ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 พ.ศ.2564 มากกว่า ยาภูมิคุ้มกันบำบัดชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังค่า benefit to cost ratio คือ 1.72 และน่าจะน้อยกว่า 1.00 ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้กำหนดนโยบายสามารถนำข้อมูลนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคหืดที่เกิดร่วมกับโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ซึ่งมีสาเหตุมาจากไรฝุ่นด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดแบบอมใต้ลิ้นเปรียบเทียบกับแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนังในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อย่างคุ้มค่าต่อสังคมในภาพรวมต่อไป


ไฟล์เอกสาร : ขอเสนอการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้นและชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคจมูกอักเสบแพ้ร่วมกับโรคหืดในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : อาทิตย์ ที่ 2 เมษายน 2566
วันที่ทำการลง : ศุกร์ ที่ 16 มิถุนายน 2566
ขอเสนอการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดไรฝุ่นชนิดอมใต้ลิ้นและชนิดฉีดเข้าใต้ผิวหนังในการรักษาโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้และโรคจมูกอักเสบแพ้ร่วมกับโรคหืดในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19
 
ชื่อหัวข้อ : การพัฒนาเครื่องมือเก็บสารคัดหลั่งจากโพรงจมูก
subject : Development of Nasopharyngeal Secretion Collection Tool
รายละเอียด :

วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาอุปกรณ์สำหรับเก็บสาร .



วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาอุปกรณ์สำหรับเก็บสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกและทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องมือในห้องปฏิบัติการ

วิธีวิจัย: การวิจัยและพัฒนานี้ได้สร้างเครื่องมือต้นแบบสำหรับการรวบรวมสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกผ่านการระดมสมองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการออกแบบและการผลิตเครื่องมือ ต่อจากนั้น ต้นแบบได้รับการทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยโดยใช้หุ่นจำลอง

ผลการวิจัย: เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นนี้เหมาะสำหรับการรวบรวมสารคัดหลั่งจากช่องจมูก เนื่องจากทำให้เข้าถึงช่องจมูกได้ ทำให้เห็นได้ชัดถึงตำแหน่งที่ควรเก็บตัวอย่าง และใช้การดูดด้วยแรงดันต่ำแทนการดูซับในการเก็บตัวอย่าง เครื่องมือนี้ได้รับการทดสอบ 1,000 ครั้ง และพบว่าสามารถเข้าถึงบริเวณช่องจมูกโดยไม่ต้องสัมผัสเนื้อเยื่อรอบข้าง เครื่องมือมีดัชนีประสิทธิภาพ 96.09 โดยไม่มีหลักฐานว่า อุปกรณ์เจาะทะลุไปยังบริเวณโดยรอบ

สรุป: ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการของต้นแบบที่พัฒนาขึ้นนั้นมีแนวโน้มดี ดังนั้นสามารถนำต้นแบบไปทดสอบเพิ่มเติมในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย


ไฟล์เอกสาร : การพัฒนาเครื่องมือเก็บสารคัดหลั่งจากโพรงจมูก
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : เสาร์ ที่ 1 เมษายน 2566
วันที่ทำการลง : พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2566
การพัฒนาเครื่องมือเก็บสารคัดหลั่งจากโพรงจมูก
 
ชื่อหัวข้อ : การวิจัยและพัฒนาเครื่องมือเก็บตัวอย่างหลังโพรงจมูกสำหรับใช้ตรวจโรคติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาอย่างรวดเร็ว
subject : Research and Development of a Device for Nasopharyngeal Swabs for Rapid Testing of the Novel Coronavirus
รายละเอียด :

วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาอุปกรณ์เก็บตัวอย่างก .



วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาอุปกรณ์เก็บตัวอย่างการตรวจ SARS-CoV-2 ที่สามารถเก็บตัวอย่างจากตำแหน่งที่เหมาะสมในปริมาณที่เพียงพอ และเพื่อทดสอบอุปกรณ์ดังกล่าวในห้องปฏิบัติการ

วิธีวิจัย: ขั้นตอนการวิจัยประกอบด้วยการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ  การระดมความคิดของผู้เชี่ยวชาญ การประดิษฐ์อุปกรณ์ และการทดสอบอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ ข้อมูลจากการทบทวนวรรณกรรมและการระดมความคิดถูกรวบรวมและนำไปใช้ในการออกแบบอุปกรณ์ต้นแบบ หลังจากการทดสอบเบื้องต้นของอุปกรณ์แล้ว ข้อมูลที่รวบรวมได้ถูกส่งกลับไปยังผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบอย่างเป็นอิสระจนประดิษฐ์อุปกรณ์ภายใต้การดูแลและการตรวจสอบของวิศวกร การทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยใช้อุปกรณ์ดังกล่าวทำกับแบบจำลองจมูกของมนุษย์ที่มีจมูก รูจมูก โพรงจมูก และไซนัส

ผลการวิจัย: อุปกรณ์ต้นแบบ A สามารถเข้าถึงช่องหลังโพรงจมูกและเก็บตัวอย่างที่ต้องการได้ทั้งหมด ปริมาตรที่เก็บรวบรวมโดยเฉลี่ยของตัวอย่างคือ 1.17+ 0.25 มิลลิลิตรจากการจำลองการทดสอบ 100 รายการ

สรุป: ผลลัพธ์ของการศึกษานี้เป็นเครื่องต้นแบบสำหรับเก็บตัวอย่างจากช่องหลังโพรงจมูกเพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 ต้นแบบนี้ยังพร้อมที่จะผลิตและทดสอบในคลินิก


ไฟล์เอกสาร : การวิจัยและพัฒนาเครื่องมือเก็บตัวอย่างหลังโพรงจมูกสำหรับใช้ตรวจโรคติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาอย่างรวดเร็ว
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : อาทิตย์ ที่ 1 มกราคม 2566
วันที่ทำการลง : พฤหัสบดี ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566
การวิจัยและพัฒนาเครื่องมือเก็บตัวอย่างหลังโพรงจมูกสำหรับใช้ตรวจโรคติดเชื้อจากไวรัสโคโรนาอย่างรวดเร็ว
 
ชื่อหัวข้อ : การกำหนดคุณสมบัติของเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชนในบริบทประเทศไทย
subject : Identifying the Specification of Differential Diagnosis Tool for Ear Inflammation within the Context of Thai Community Pharmacy
รายละเอียด :

วัตถุประสงค์: เพื่อออกแบบคุณสมบัติเครื่องมือ .



วัตถุประสงค์: เพื่อออกแบบคุณสมบัติเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชนในบริบทประเทศไทย

วิธีวิจัย: ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วย 1) การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ และ 2) การสำรวจความคิดเห็น โดยผลลัพธ์ที่สนใจ คือ ประเด็นที่ได้สำหรับกำหนดคุณสมบัติเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชนในบริบทประเทศไทย

ผลการวิจัย: มีงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้าและมีคุณภาพสูงจำนวน 29 ฉบับ ประเด็นสำคัญที่สกัดได้ คือ 1) ต้องวัดอุณหภูมิได้ 2) ต้องสามารถประเมินการอักเสบของเยื่อบุแก้วหูได้ 3) ต้องมีการแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม และ 4) ต้องสะดวกสำหรับผู้ใช้งานและผู้ป่วย การวิจัยนี้ทำให้ได้คุณสมบัติของเครื่องมือต้นแบบ 2 ชิ้นที่มีคุณลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน เมื่อนำไปสำรวจความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญพบว่า คุณสมบัติของเครื่องมือต้นแบบชนิดที่ 2 เหมาะสมมากที่สุด ประเด็นทางคลินิกที่สำคัญที่สุดในการแยกโรคหูอักเสบไม่ว่าจะเป็นชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน คือ การประเมินลักษณะสำคัญซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะของผู้ป่วยที่สัมพันธ์กับอาการแสดงของการอักเสบของหูแต่ละชั้น

สรุป: ในปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการที่เป็นรูปธรรมในการแยกโรคนี้ในร้านยา และทำได้ยากมากเนื่องจากเภสัชกรไม่สามารถตรวจร่างกายโดยการสัมผัสตัวผู้ป่วยได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการประดิษฐ์เครื่องมือต้นแบบขึ้นจริง และต้องมีการวิจัยในอาสาสมัครสุขภาพดีและผู้ป่วยต่อไป งานวิจัยครั้งนี้ทำให้ได้ข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการกำหนดคุณลักษณะของเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบ และแบบจำลองเครื่องมือต้นแบบที่พร้อมสำหรับการนำไปประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อทดลองใช้งานต่อไป


ไฟล์เอกสาร : การกำหนดคุณสมบัติของเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชนในบริบทประเทศไทย
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : เสาร์ ที่ 1 มกราคม 2565
วันที่ทำการลง : พฤหัสบดี ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
การกำหนดคุณสมบัติของเครื่องมือช่วยแยกโรคหูอักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชนในบริบทประเทศไทย
 
ชื่อหัวข้อ : วิธีถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองเพื่อใช้แยกโรคคออักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชน
subject : Self-imaging Method of Oral Cavity and Throat for Differential Diagnosis of Sore Throat in Community Pharmacy
รายละเอียด :

วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาวิธีถ่ายภาพช่องปากแล .



วัตถุประสงค์: เพื่อพัฒนาวิธีถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองเพื่อใช้แยกโรคคออักเสบในงานเภสัชกรรมชุมชน

วิธีวิจัย: การวิจัยและพัฒนาครั้งนี้ประกอบด้วย 1) การพัฒนาวิธีการถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเอง 2) การตรวจสอบภาพถ่ายช่องปากและลำคอจากวิธีที่พัฒนาขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ และ 3) การทดสอบการถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองของอาสาสมัคร

ผลการวิจัย: การศึกษาได้วิธีต้นแบบสำหรับถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองจำนวน 12 วิธี เมื่อคัดเลือกจนเหลือวิธีที่ดีที่สุดเพียง 1 วิธี พบว่า การถ่ายภาพโดยใช้กล้องหลัง ไม่ใช้เลนส์มุมกว้างและใช้แฟลช เป็นวิธีที่ทำให้เห็นรอยโรคในช่องปากและลำคอชัดเจนและสมบูรณ์มากที่สุด เมื่อนำไปทดลองให้อาสาสมัครทาซ้ำพบว่าได้ผลดีเช่นเดิมเหมือนกันทุกครั้ง

สรุป: การวิจัยครั้งนี้ทำให้ได้วิธีถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองที่ทำให้เห็นรอยโรคที่ชัดเจนสำหรับการแยกโรคคออักเสบในบริบทของงานเภสัชกรรมชุมชนของประเทศไทย และสามารถปฏิบัติซ้ำได้


ไฟล์เอกสาร : วิธีถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองเพื่อใช้แยกโรคคออักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชน
ลิงค์ url :
ตีพิมพ์เมื่อ : ศุกร์ ที่ 1 ตุลาคม 2564
วันที่ทำการลง : พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2564
วิธีถ่ายภาพช่องปากและลำคอด้วยตนเองเพื่อใช้แยกโรคคออักเสบสำหรับงานเภสัชกรรมชุมชน
 

© 2025 ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

เลขที่ 99 หมู่ 9 ถนนพิษณุโลก-นครสวรรค์ ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก 65000

โทรศัพท์ ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา 055-965-514 แฟกซ์ ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา 055-965-753 E-Mail ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา Facebook ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา Administrator ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา